ปัจจุบันการวัดและประเมินผลเป็นงานที่ท้าทายครู เนื่องจากความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นประสิทธิผลที่เกิดจากการปฏิบัติงานของครู ข้อมูลจากการประเมินที่เพียงพอจะช่วยการปรับปรุงการทำงาของผู้เรียนและยังเป็นแนวทางที่จะช่วยกระบวนการเรียนการสอนและสนับสนุนในเชิงนโยบายทางระบบการศึกษา ในขณะเดียวกันถ้ากระบวนการประเมินไม่ดีจะมีผลที่ตรงกันข้ามกับผู้เรียน
ครูและผู้บริหารโรงเรียน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับด้านธุรกิจที่มุ่งเน้นผลตอบแทนที่มุ่งกำไรหรือผลประโยชน์ ในข้อเท็จจริงการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ไม่สามารถจับต้องได้แต่พยายามที่จะกำหนดลักษณะให้เกิดความเข้าใจได้
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีเทคนิคและวิธีการหลายวิธีที่ใช้ประเมินผลการเรียนรู้ทางปัญญา
นอกเหนือจากการประเมินผลที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับแบบทดสอบและวัดเฉพาะด้านสมอง โดยนักวัดผลทางการศึกษาคาดหวังจะให้การวัดผลทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผลในยุคโลกาภิวัตน์ มีการประเมินผลการเรียนรู้ทางด้านทักษะ(Skill)มากกว่าด้านความรู้ที่
ใช้วิธีการประเมินแบบเขียนตอบ เพื่อวัดความสามารถของนักเรียนและเป็นความต้องการของสถานศึกษาด้วย
การประเมินผลเพื่อการเรียนรู้(Assessment for Learning)
เป็นการประเมินผู้เรียนเพื่อที่จะดูความงอกงามจากกระบวนการเรียนการสอนของครู
ผลที่ได้จากการทดสอบนักเรียนจะทำได้ง่ายและสารสนเทศจากคะแนน แปลผลแล้วจะทำให้เข้าใจง่าย แบบทดสอบมาตรฐานเป็นที่นิยมมีเป้าหมายที่ชัดเจน ครูและผู้บริหารโรงเรียนต้องการนำผลการสอบมาใช้เพื่อปรับปรุงด้านต่างๆ แต่แบบทดสอบนั้นไม่สามารถนำมาใช้วัดผลในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการวัดภาคปฏิบัติที่มีวัตถุประสงค์และการประเมินด้านกระบวนการที่แน่นอน
เริ่มแรกการประเมินอยู่ในขอบข่ายที่ศึกษาจะเกี่ยวข้องกับวิชาวิทยาศาสตร์ที่ต้องการวัดทางด้านปริมาณและคุณภาพในขอบเขตที่ศึกษา ในวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพการวัดจะทำให้เข้าใจง่ายและยอมรับ ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการอยากรู้ว่าลวดเส้นหนึ่งยาวเท่าไร เราก็ใช้ไม้บรรทัดหรือตลับเมตรวัด ถ้าอยากรู้ว่าวัตถุชิ้นหนึ่งหนักเท่าไร ก็นำไปวางบนเครื่องชั่ง หน่วยมาตรฐานของการวัดความยาวจะเป็นเซนติเมตร
เมตร หรือ นิ้ว หน่วยมาตรฐานของน้ำหนักเป็นกรัม กิโลกรัม หรือ ปอนด์
ในทางการศึกษาปริมาณและคุณภาพที่สนใจส่วนมากเป็นนามธรรมไม่สามารถสัมผัสหรือมองเห็นได้ ดังนั้น กระบวนการวัดผลทางการศึกษาจึงยากกว่าการวัดทางด้านกายภาพ ลักษณะของการวัดผล เช่น
ความรู้เนื้อหาต่างๆใช้การวัดผลจากแบบทดสอบมาตรฐาน ที่เราเรียกว่าการทดสอบ(Testing) การวัดด้วยวิธีอื่นๆ เราอาจใช้ระดับความรู้ที่แบ่งเป็นระดับจาก 1 ถึง 5 แยกความรู้ของนักเรียนโดยค่า 1 น้อยที่สุด และ 5 มีค่าสูงสุด บางเนื้อหาวิชาก็วัดกระบวนการตามขั้นตอนการทำงาน
การวัดผล
การวัดผลทางการศึกษา
มีคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน ตัวแปรที่สามารถวัดได้ โดยตรง เช่น อายุ ความสูงของนักเรียน
ตัวแปรบางตัวไม่สามารถวัดได้โดยตรงต้องอาศัยวัดผ่านการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนของนักเรียน หรือมีตัวแปรที่บ่งบอกการวัดโดยตรงไม่ได้แต่ต้องการตัวบ่งชี้แสดงลักษณะ ตัวอย่างการแสดงสามารถวัดลักษณะตัวแปรทางการศึกษา ดังนี้
I
= 1 แทนลักษณะที่วัดได้
=
0 แทนลักษณะที่ยังไม่เกิดหรือวัดไม่ได้
ตัวแปร X = ความสัมพันธ์ในชั้นเรียน ให้ I1 , I2 ,
……., In แสดงการมีส่วนร่วมของนักเรียน n คือ นักเรียนในชั้นเรียนที่ทำได้(เช่น ท่องบทอาขยานได้) และให้ X = ผลบวกของ I’s
และ N คือ นักเรียนทั้งหมด
สมมติถ้า N = 10 คน นักเรียนมีส่วนร่วมและทำได้ 5 คน
ดังนั้น X =
50 %
ตัวบ่งชี้หลายตัวจะรวมกลุ่ม ซึ่งมีการสร้างเพื่อใช้วัดกลุ่มของตัวชี้วัดที่เป็นตัวแปร ตัวแปรจะรวมเป็นกลุ่มที่เรียกว่าโครงสร้างหรือองค์ประกอบ(Factor) ตัวแปรที่เป็นองค์ประกอบจะมีค่าสหสัมพันธ์กันสูง แต่จะมีค่าสหสัมพันธ์กันต่ำกับตัวแปรหรือกลุ่มอื่น
ตัวอย่าง ตัวแปรที่วัดด้วยชุดแบบทดสอบ(battery of tests)
X1
= ทักษะการคำนวณ
X2 = ทักษะการอ่าน
X3
= คำศัพท์
X4
= ด้านตรรกะและเหตุผล
X5
= ลำดับและชุดของสิ่งของ
X6
= ใช้มือทำคล่องแคล่ว
ตัวแปรแบ่งกลุ่ม ดังนี้
กลุ่ม 1 X1 , X4 ,
X5 ปัจจัยความสามารถด้านคณิตศาสตร์
กลุ่ม 2
X2 , X3 ปัจจัยความสามารด้านภาษา
กลุ่ม 3
X6 ปัจจัยความสามารถด้านกล้ามเนื้อ
การวัดผลทางการศึกษา จะให้ความสนใจเกี่ยวกับตัวบ่งชี้ ตัวแปรและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการวัดผลทางการศึกษา
การประเมินผล
ในขั้นตอนการวัดผลเราให้ความสนใจทางด้านคุณภาพและปริมาณ ขั้นตอนต่อไปเป็นการประเมินปรากฏการณ์ทางด้านการศึกษา ตัวอย่าง ถ้าสนใจคุณภาพระดับความสามารถการปฏิบัติงานวิชาคณิตศาสตร์
นักเรียนชั้น ป. 6 โรงเรียนในเมือง
จุดประสงค์ในการวัดโดยใช้คะแนนจากแบบทดสอบที่ได้จากคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์มาตรฐานคณิตศาสตร์ เป้าหมายของการวัด คือ นักเรียนต้องทำคะแนนได้ไม่น้อยกว่า 85%
บทบาทหน้าที่ของการประเมิน
มีการใช้การประเมินในหลายลักษณะเพื่อตัดสินการเรียนการสอน ดังนี้
1) บทบาทเพื่อสรุปผลการเรียน(Summative Role)
จุดประสงค์การประเมินเพื่อสรุปผลเพื่อต้องการให้เห็นระดับผลการเรียนหรือเกรดของนักเรียน
ตามรายวิชาที่นักเรียนได้เรียนรู้
2) บทบาทเพื่อการวินิจฉัย(Diagnostic Role)
บางครั้งการประเมินเป็นไปตามวัตถุประสงค์นี้ กรณีของปัญหาการเรียนรู้หรือกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน ที่คาดหวังว่าสามารถแก้ปัญหาได้ การวินิจฉัยปัญหาเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากเพราะอาจทำให้การวินิจฉัยผิดพลาด
การใช้แบบทดสอบเพื่อที่จะวินิจฉัยว่านักเรียนคนใดมีความบกพร่อง ครูต้องระมัดระวังในการวินิจฉัยจากการเรียนรู้ ครูต้องมีวิธีการประเมินการสอนที่เหมาะสมและมีโปรแกรมมาแทรกป้องกันไว้ เพราะการที่ครูวินิจฉัยที่ผิดพลาดจะเกิดผลเสียหายที่ตามมา เช่น
กรณีนักเรียนคนหนึ่งมีปัญหาในการแปลความทำเลขโจทย์ปัญหาไม่ได้ โดยที่นักเรียนอาจมีความบกพร่องทางการอ่านหนังสือไม่ได้หรือการอ่านจับใจความอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่สามารถทำเลขโจทย์ปัญหา
3) บทบาทเพื่อใช้ตัดสินระหว่างเรียน(Formative Assessment) การประเมินลักษณะนี้ครูต้องประเมินกิจกรรมระหว่างการเรียนการสอนในแต่ละครั้งที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งบางครั้งมุ่งที่ไปที่แบบฝึกหัดใช่หรือไม่ ในบริบทของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนการประเมินระหว่างเรียนสำคัญที่สุด
เมื่อนักเรียนไม่เข้าใจผิดครูจะอธิบายใหม่
หรือปรับเปลี่ยนเนื้อหาเพื่อการเรียนการสอนใหม่
4) บทบาทการสอบเพื่อจัดตำแหน่ง(Placement) ลักษณะสุดท้ายของการประเมินในหลักสูตร การใช้ตัดสินตำแหน่ง การประเมินในบทบาทนี้คือ
การจัดตำแหน่งของนักเรียนทั้งด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทัศนคติ การสอบเพื่อจัดตำแหน่งจะเป็นการจัดความสามารถทางด้านสมองของนักเรียน สำหรับด้านทัศนคติครูอาจใช้ลักษณะของจิตอาสา การมีวินัยของนักเรียน
ฯลฯ
การประเมินผลการเรียนรู้และโปรแกรม
รูปแบบการประเมินมีความสำคัญในบริบททางการศึกษา การประเมินมาจากการวัดและประเมินผลลักษณะทางการศึกษาที่ผ่านมาแล้ว โดยที่ต้องผ่านการวัดและตัดสินผลลัพธ์ทางการศึกษา ในการประเมินผลลัพธ์ เราต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของกระบวนการทางการศึกษา
วิเคราะห์ทั้งผลผลิต(Output)และผลลัพธ์(Outcome)ที่พึงพอใจและยังขยายวัตถุประสงค์ที่สำคัญอื่นๆ ถ้ามีการประเมินผลแล้วล้มเหลว เราต้องหารสาเหตุที่เป็นไปได้ถึงความล้มเหลวตามวัตถุประสงค์ เราสามารถหาเหตุผลได้จากนิยามบริบท ปัจจัย กระบวนการและผลผลิตจากการระบบการศึกษา
การประเมินจัดเป็นเครื่องมือที่กำหนดขอบเขตของกระบวนการ
ทางการศึกษาหรือโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพ ในเวลาเดียวกันยังกำกับทิศทางของหลักสูตรที่จะกำหนดลักษณะความสำเร็จของผู้เรียน ขั้นสุดท้ายการประเมินที่ขยายตัวโดยองค์กรที่มีประสิทธิภาพที่เน้นไปที่ความพยายามของครูและผู้บริหารโรงเรียน รวมทั้งทรัพยากรที่มีอยู่(เวลาและเงิน)ที่ตอบสนองในขอบเขตที่ต้องการมากที่สุด
การปรับปรุงการปฏิบัติงานของนักเรียนที่แก้ไขไม่ได้จะเกี่ยวพันกับการปรับปรุงด้านปัจจัยและกระบวนการ ให้การเรียนการสอนของครูมีประสิทธิผล การประเมินจะให้ความสนใจทั้งครูและผู้บริหารโรงเรียนมากที่สุด
เนื่องจากจะวางแผนและปรับปรุงการเรียนการสอนได้ทั้งหมด
โปรแกรมการประเมินมองความต้องการไปที่กิจกรรมที่สำคัญๆ ที่จะนำไปสู่การวิจัยหรือค้นหาความจริงอย่างง่าย คุณลักษณะโปรแกรมการประเมินจะเป็นการบริการที่มีคุณภาพโดยย้อนกลับจากกิจกรรมที่ทำและผลลัพธ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในโปรแกรมหรือการตัดสินใจจากการบริการเพื่อให้เกิดการพิจารณา การปราศจากการย้อนกลับโปรแกรมการบริการของคนไม่สมารถก่อให้เกิดประสิทธิภาพได้ โมเดลเชิงระบบเพื่อการประเมินไม่มีประโยชน์เฉพาะรูปแบบโปรแกรมการประเมิน โมเดลการประเมินแบบเดลฟายเป็นโมเดลการประเมินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอดีต มีความสำคัญเนื่องจากเป็นเทคนิคเดลฟายมีความน่าเชื่อถือและตัดสินโดยผู้เชี่ยวชาญเป็นรูปแบบที่ยึดระบบจากผู้ประเมินภายนอกระบบ ผู้ปฏิบัติงานตามโปรแกรมต้องกำหนดขอบเขตเกี่ยวกับโปรแกรม ผู้เชี่ยวชาญจะตัดสินขอบเขตเนื้อหาภายใต้การรวบรวมจากประสบการณ์ที่ผ่านมาและความเชี่ยวชาญของตน หลายโปรแกรมการประเมินอาจไม่มีขอบเขตที่จะประเมินกระบวนการทางการศึกษา สำหรับหน่วยงานทางราชการโปรแกรมการประเมินมีความสำคัญเพื่อรองรับ สนับสนุนกิจกรรม เพื่อตรวจสอบอัตถประโยชน์จากการใช้งบประมาณ ตัวอย่าง ต้องการใช้สนับสนุนกองทุนจากต่างประเทศที่มีเป้าหมายในภาคสังคม
เช่น ขจัดความยากจน โปรแกรมต้องตอบสนองด้านทรัพยากรไม่ให้เกิดความสูญเปล่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น